เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๓ ม.ค. ๒๕๕๓

 

เทศน์เช้า วันที่ ๓ มกราคม ๒๕๕๓
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันนี้วันสุดท้ายจะกลับบ้าน เพราะว่าปีใหม่ไง วันหยุดราชการวันพักผ่อน คนเราเกิดมามีจิตใจกับร่างกาย ร่างกายนะเวลาเหนื่อยเข้านั่งพักก็หาย นอนพักก็หาย แต่หัวใจนี่เอาอะไรไปพักผ่อนมัน.. เวลาพักผ่อน เห็นไหม เวลาคนเขานอนเขายังต้องมีที่นอนหมอนมุ้ง หัวใจถ้ามันจะพักผ่อน มันจะมีสติมีปัญญาควบคุมมัน

ถ้ามันพักผ่อนได้นะ หลวงตาบอกว่า “คนเราเกิดมา ตั้งแต่เกิดจนตายติดเครื่องไม่เคยดับ แม้แต่นอนก็ฝัน” นี่ก็เหมือนกัน ในการพักผ่อนของทางโลกเขา เขาว่ามันเป็นการพักผ่อนเพราะเป็นความพอใจของเขา ด้วยความพอใจด้วยความเข้าใจว่าเป็นการพักผ่อนนะ แต่ถ้าจิตมันสงบเข้ามานะ ดูสิ เวลาคนเรานะ เวลาครูบาอาจารย์ที่ประพฤติปฏิบัติมาแล้ว ดูสิ อายุขัยจะมากขนาดไหนนี่เพราะจิตใจไง

เหมือนทางโลก ทางโลกถ้าเครียดมันจะทำให้เราเจ็บไข้ได้ป่วยได้ ความเครียดนี่ทำให้วิตกกังวล ถ้าความเครียดไม่มีนะ หัวใจไม่เครียดหัวใจก็ไม่สูบฉีดเลือดมากเกินไปนัก ร่างกายก็ไม่สึกหรอมากจนเกินไป ถ้าร่างกายนี้ยังใช้ประโยชน์ได้ หัวใจที่อยู่ในร่างกายนี้จะมีความสุขพอสมควร

คำว่าพอสมควรคือมันไม่มีความสุขจริงหรอก เพราะโลกนี้ เห็นไหม โลกนี้เป็นทุกข์ ทุกข์เป็นอริยสัจ ทุกข์เป็นความจริง แต่ในเมื่อมันทุกข์แล้วเกิดมาทำไมล่ะ.. ในเมื่อมันทุกข์ ! ในเมื่อมันทุกข์มันก็มีการเกิดการตายเป็นธรรมดา ในเมื่อมีการเกิดแล้วก็ต้องมีการตาย การตายแล้วก็ต้องมีการเกิดทั้งหมด เราว่าตายแล้วสูญไป ความรู้สึกนี้สูญไม่ได้หรอก ถ้าเราทำความรู้สึกเราให้ไม่มี นี่ตายแล้วก็สูญ แต่ความรู้สึกนี้มันไม่เคยตาย ความรู้สึกนี้มันมีของมัน เห็นไหม

นี่สสารที่มีชีวิต.. จิตธาตุรู้นี่ ธาตุรู้ที่มีชีวิตมันเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์มาก เพราะมันเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ แล้ววิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้ วิทยาศาสตร์พยายามจะย้อนนะ ใช้กล้องจะถ่ายย้อนกลับไป มันก็ได้ทางวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์คิดได้ขนาดไหนมันก็เป็นได้ทางวิทยาศาสตร์

แต่เวลามันเวียนไปนะ เวียนไปถึง.. ดูสิ บุพเพนิวาสานุสติญาณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มีต้นไม่มีปลาย ดูสิ ฟอสซิลของมนุษย์ ตอนนี้ค้นคว้าได้มา ๖๐ ล้านปีนี่ฟอสซิลของมนุษย์นะ แล้วฟอสซิลของสัตว์ ฟอสซิลของต่างๆ นี่มันเป็นร้อยๆ ล้านปี ร้อยๆ ล้านปี เห็นไหม

โลกนี้เป็นอจินไตย.. โลกนี้มันเป็นอจินไตย โลกนี้มันเป็นจะหมุนของมันไปอย่างนี้ แล้วนี่สิ่งที่จิตวิญญาณ ดูสิ พวกเกสรดอกไม้ พวกพืชพันธุ์ธัญญาหาร นี่มันพัฒนาการพืชแต่โบราณกาล พืชที่มันแปรพันธุ์มา แล้วจิตของเรามันแปรพันธุ์มาอย่างไร.. นี่มันไม่มีเวลาได้หยุดได้หย่อน มันไม่ได้พักผ่อนของมันใช่ไหม

แต่พอเรามาพบพุทธศาสนา ถ้าเราจะพักผ่อนใจของเรา นี่เรามาอยู่วัดอยู่วากันเพื่อจะมาพักผ่อนใจ ให้ใจมันได้หยุด.. ให้ใจมันได้หยุดนะ เขาบอกใจมันหยุดไม่ได้ เขาบอกใจมันหยุดไม่ได้

ใจหยุดได้.. ใจมันหยุดได้ด้วยอะไร ? ด้วยสติ ! แต่ความหยุดของมันนี่หยุดในตัวของมันเอง เห็นไหม “น้ำนิ่งแต่ไหลอยู่” ความรู้สึกมันมีของมันอยู่ แต่มันอยู่ในตัวของมันเอง แต่ในปัจจุบันนี้ความรู้สึกของเรานี่มันออกไปข้างนอก มันกว้านไปหมดเลย นี่จากความรู้สึกออกไปเป็นความคิด พอเป็นความคิดแล้วมันก็ออกไปข้างนอก มันก็ต้องทำงานของมันตลอดเวลา นี่พอทำงานตลอดเวลาเราก็ใช้ย้อนกลับ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ทวนกระแส ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทวนกระแสคือตั้งสติไว้ เราตั้งสติปัญญาของเรา เห็นไหม คนจะนอนจะพักผ่อนเขายังต้องมีมุ้งหมอนเพื่อพักผ่อนของเขา จิตใจของเรานี่ เราจะพักผ่อนของเรา เราไม่มีสติปัญญาเพื่อจะยับยั้งเขาเลย ไม่มีที่ให้เขาได้พักผ่อนเลย เอาใจเรามาพักผ่อนล่ะ มันก็เป็นไปตามกระแสของมันนั่นแหละ

ดูน้ำสิ น้ำที่มันไหลไปนี่ไหลไปตามธรรมชาติของมัน จากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ แต่น้ำใจนี่มันไหลจากที่ต่ำขึ้นสู่ที่สูง น้ำอันนี้มันมหัศจรรย์ ถ้ามหัศจรรย์นี่มันจะไหลขึ้นไปอย่างไรล่ะ

สติปัญญาของเรา เห็นไหม พุทโธ พุทโธนี่นาโน.. นาโนมันทับถมกันไป นาโนนี่สิ่งต่างๆ เล็กที่สุด สิ่งที่เล็กที่สุด ความรู้สึกที่ละเอียดที่สุด พุทโธ พุทโธ พุทโธ.. เราเองไม่เห็นคุณค่า ทำด้วยความสักแต่ว่า ทำด้วยความไม่จริงจัง ถ้าทำสักแต่ว่า เห็นไหม ทำสักแต่ว่าเป็นอัตตกิลมถานุโยค ความจงใจ ความตั้งใจนี่ผิดหมดแหละ ถ้าไม่ทำด้วยความตั้งใจด้วยความจงใจนี่ปล่อยมันสบายๆ

จริงๆ มันสบายจริงๆ คนเราเหนื่อยยากมา เห็นไหม ทำอะไรที่มันเหนื่อยยากมา มานั่งพักมันก็หายเหนื่อย จิตใจที่มันทำงานของมันอยู่ บอกปล่อยมันสบายๆ นี่มันก็สบายอยู่พักหนึ่ง แต่มันสบายโดยสามัญสำนึก สบายโดยธรรมชาติของมัน ความสบายอย่างนี้มันได้อะไรขึ้นมาล่ะ..

แต่ถ้าเรามีความขยันหมั่นเพียร ความที่มันทำงานของมันจนเข้าใจของมันแล้วมันปล่อยวางของมัน ในการทำงานนี่มันทำงานของมันไป น้ำนิ่งแต่ไหลอยู่ เห็นไหม

จิตที่มีพลังงานนี่มันหมุนของมัน ไม่ใช่ว่าพอจิตเป็นสมาธิมันจะเหมือนขอนไม้ เหมือนท่อนไม้ นี้คนคิดกันไปนะ

ดูสิ เวลาเข้าสมาธิออกสมาธิก็เหมือนจะเข้าบ้านออกจากบ้าน เวลาเข้าสมาธิออกจากสมาธินี่จิต เห็นไหม ดูสิ อย่างเช่น ตะกอนในน้ำมันนิ่งอยู่ ตะกอนในน้ำมันจะนอนอยู่ก้นแก้ว พอมันขยับตะกอนก็จะขึ้นแล้ว

ความรู้สึกของเรา ถ้าเรามีสติสัมปชัญญะ ถ้าเราควบคุมได้ของมันนะ มันจะค่อยสงบไป พอสงบแล้วเราก็ตื่นเต้น ความตื่นเต้นนั้นคือตะกอน ความตื่นเต้นนั้นคือความรู้สึกของเรา นี่ไปเขย่ามันตลอดเวลาเลย ความเขย่าอย่างนี้มันก็เป็นธรรมดาของเรา เราสิเขาเอาเงินมาให้ ๑ ล้านตอนนี้เราจะดีใจไหม ให้ ๑๐ ล้าน ๒๐ ล้าน ๑๐๐ ล้านเราจะดีใจขึ้นมาไหม เราก็ดีใจขึ้นไปเรื่อยๆ ใช่ไหม จิตพอได้สัมผัสปั๊บได้เงิน ๑ ล้าน มันก็ตื่นเต้น อ้าว.. ตื่นเต้นก็ค่อยๆ ตื่นเต้นพอได้ ๒ ล้าน ๓ ล้าน ๔ ล้าน มันจะสั่นไหวอย่างนี้ ตัวเราเองมันจะขยับเอง

สัจธรรมมันเป็นอย่างนั้น ธรรมชาติข้อเท็จจริงมันเป็นอย่างนั้น แต่พอประสบการณ์เราบ่อยครั้งเข้า ๑ ล้านก็คือเงิน ๑ ล้าน ๒ ล้าน ๓ ล้านก็ ๒ ล้าน ๓ ล้านขึ้นไปเรื่อยๆ สงบมากหรือสงบน้อยเราก็มีสติสัมปชัญญะควบคุมของเราไปเรื่อยๆ เห็นไหม มันทำงานของมัน

“ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ” ไม่มีเหตุ.. ธรรมไม่มีหรอก ! ไม่มีที่มา ธรรมมาไม่ได้หรอก ! ไม่มีสติ ไม่มีคำบริกรรม ไม่มีการรักษา ไม่มีหรอก !

ว่างๆ ว่างๆ นั่นน่ะเป็นธรรมชาติ..

ว่างๆ นั่นขอนไม้มันก็ว่าง ขอนไม้มันไม่รู้ตัว แร่ธาตุต่างๆ มันมีชีวิตไหม มันไม่กระดิกเลยนะ มันนิ่งตลอดเลยแต่มันไม่มีธาตุรู้ มันไม่มีความรู้สึก มันรู้อะไรของมัน มันไม่รู้หรอก ถึงบอกว่าสมาธินะถ้าจิตได้พักผ่อน ถ้าจิตได้พักผ่อนนะจะสดชื่นมาก จะสดชื่นของมันนะแล้วซาบซึ้งมาก ซาบซึ้งนะ

แต่สิ่งอย่างนี้เราทำขึ้นมา พยายามทำขึ้นมาแล้วรักษาเรา เข้าสู่จิตเดิมแท้ เข้าสู่ตัวตนของเรา นี่เราจะหาเรา เราจะเข้าใจตัวเราเองนะ เราจะเข้าใจตัวของเราเอง เห็นไหม อย่างเมื่อวานว่า เราจะเผชิญหน้ากับความรู้สึกของเราเองนี่มันน่ากลัวนะ เราเผชิญหน้ากับใครเราสู้หน้าเขาได้หมดล่ะ แต่จะสู้หน้ากับตัวเอง จะสู้หน้ากับความรู้สึกของตัวเอง จะเอาความรู้สึกของตัวเอง นี่มันรู้ตัวเองอยู่นะ เผชิญหน้ากับความจริงกับตัวเองมันยิ่งน่ากลัวกว่าเผชิญหน้ากับคนอื่น

นี้เผชิญหน้ากับตัวเอง เราตั้งสติของเราขึ้นไป ถ้าเราเผชิญขึ้นมาก็เหมือนกัน มันมหัศจรรย์ มันมหัศจรรย์มาก จิตสงบ โอ้โฮ.. มันซาบซึ้งมากนะ

แต่นี้เดี๋ยวนี้มันไม่เป็นอย่างนั้น ศาสนาพุทธศาสนาสอนให้ปล่อยวาง ศาสนาพุทธคือความว่าง ก็ว่าว่างๆ ว่างๆ มันเป็นสัญญาอารมณ์ เห็นไหม นี่พลังงานกับความคิด ความคิดคือสัญญาอารมณ์ สัญญาอารมณ์คิดก็ฟุ้งซ่านขึ้นมาก็ทุกข์ทีหนึ่ง เวลาปล่อยวางก็ไปปล่อยวางที่ความคิดนั้น

สัญญาอารมณ์ สัญญาให้ว่างแล้วก็ว่าว่างๆ สัญญาอารมณ์ไม่ใช่เรา ไม่ได้เผชิญหน้ากับอะไรเลย ไม่ได้จะเผชิญหน้ากับความจริงเลย ไม่ได้เผชิญหน้ากับจิตเลย ไม่ได้เผชิญหน้ากับความสงบของใจเลย ไม่ได้เผชิญหน้า ไม่ได้รับรู้รสเลย ! ไม่ได้รับรู้รสเลย

“รสของธรรมชนะซึ่งรสทั้งปวง”

ถ้าจิตมันเข้าไปสงบ มันเข้าไปรู้รสนี่มันจะซาบซึ้ง ซาบซึ้งจริงๆ มันเป็นความมหัศจรรย์ มหัศจรรย์มาก ! มหัศจรรย์เพราะจิตของเราเองนี่ “สุขสิ่งใดเท่ากับจิตสงบไม่มี” สุขของเราอย่างที่เราพักผ่อนนอนหลับกันนี้มันเป็นสัญญาอารมณ์ มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ เป็นสัจธรรมของมนุษย์เท่านั้นล่ะ ถ้ามนุษย์ไม่ได้พักผ่อนอยู่ไม่ได้หรอก คนเราไม่ได้นอนหลับพักผ่อนเลยนะ ร่างกายนี้ทนไม่ไหวหรอก คนเราต้องได้พักผ่อนนอนหลับบ้างร่างกายนี้มันถึงจะใช้ประโยชน์ของมันได้

จิตใจนี่ธรรมชาติของมันมหัศจรรย์ เห็นไหม มันไม่ได้พักไม่ได้ผ่อนของมันเลย มันก็หมุนของมันอยู่อย่างนั้นแหละหยุดไม่ได้เลย พอถึงถ้าเข้าสมาธิได้นี่มันหยุดทีหนึ่ง เครื่องยนต์นี่ รถยนต์ติดเครื่องตั้งแต่ซื้อรถมาจนมันพังคารถไปเลย

นี่ก็เหมือนกัน ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญา.. ใช่ ! แต่ปัญญาเกิดจากจิตที่มันมีความสงบอย่างนี้ นี่การพักผ่อนนอนหลับเรานะ.. การพักผ่อนจิต ร่างกายก็ได้พักผ่อน หัวใจก็ได้พักผ่อน ถ้ามันพักผ่อนของมันนะ พักผ่อนเพื่อความสดชื่น สดชื่นแจ่มใสขึ้นมาเพื่อจะทำงานต่อไป งานต่อไปอันนี้เป็นงานรื้อวัฏสงสาร !

งานของเรานี่ ดูสิ ผู้บริหารจัดการ ผู้บริหารเขาใช้อะไร เขาใช้สมอง โอ้โฮ.. ใช้ความคิดมากเลย เครียดมากเลย เห็นไหม นี่คือการบริหารจัดการในทางโลก การบริหารจัดการเพื่อประโยชน์กับชีวิตของเรา แต่การบริหารจิตของเรา ถ้าเอาจิตของเราพ้นออกไปจากการครอบงำของมาร แล้วมารมันคืออะไรล่ะ..

มาร เห็นไหม มารนี่เป็นนามธรรม มารนี่เราว่าจะไปฆ่ากิเลสๆ แล้วกิเลสมันอยู่ที่ไหน กิเลสมันก็อยู่กับเรา กิเลสมันอยู่กับความเคยใจ ถ้าความเคยใจนี่เราไปเห็นจิตของเรา ก็ไม่เห็นกิเลส ไม่เห็นกิเลสเพราะอะไร เพราะน้ำใสจะเห็นตัวปลา แต่มันก็ใสอยู่ในจิตนั่นแหละ เราต้องขุดคุ้ย เราต้องฝึกหัด ต้องค้นหานะ พอค้นหานี่มันรู้เอง เวลารู้เองนี่ อื้อฮือ.. ทำไมเป็นอย่างนี้

เวลาครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัตินะ ทำไมเราโง่ขนาดนี้ ! เหมือนเขาว่าเส้นผมบังภูเขา เส้นผมบังภูเขานี่ถูก ทำไมเราโง่ขนาดนี้ ! ทำไมเราโง่ขนาดนี้ ! ของมันอยู่กับเรานี่เดินชนไปเดินมา ความรู้สึกนี่เดินชนกันอยู่อย่างนี้ แต่เราไม่เห็นคุณค่าของมัน เราไม่เคยจับมัน ไม่เคยจับต้องความรู้สึก อารมณ์อย่างนี้มาพิจารณาเลยว่าอันนี้มันเป็นอะไร อันนี้มันควรหรือไม่ควร อันนี้มันเป็นจริงหรือไม่เป็นจริง

ถ้ามันเป็นจริงหรือไม่เป็นจริงนะ.. มันเป็นจริงหรือไม่เป็นจริงนี่พูดกันบ่อยมาก ใครๆ ก็พูดอย่างนี้ คำพูดคำเดียวกันเลยแต่ว่าเป็นจริงหรือไม่เป็นจริงจากจิตที่มันพิสูจน์ ! ไม่ใช่เป็นจริงหรือไม่เป็นจริงโดยที่เราจำมา โดยสมองพิสูจน์ ! สมองก็ไม่จริงทั้งนั้นแหละ

เกิดมาทุกคนก็รู้สัจธรรมหมดแหละ อริยสัจ ๔ ใครท่องไม่ได้บ้าง ทุกคนท่องได้หมดเลย ใครๆ ก็รู้ว่าเกิดมาก็ต้องตายหมดแหละ ใครๆ ก็รู้ทั้งนั้น ธรรมะนี่รู้ทุกคนแหละ พูดได้ปากเปียกปากแฉะ นกแก้วนกขุนทองท่องได้แม่นหมดเลยนะ แต่หัวใจด้าน !

ใจมันด้าน ! เพราะมันด้านมันถึงต้องเกิดต้องตาย ! แต่ธรรมะพระพุทธเจ้านี่จำได้หมดนะ นี่ไงถึงว่ามันไม่ได้เห็นโดยจิต มันไม่ได้เห็นโดยสามัญสำนึก.. มันไม่ได้เห็นโดยจิต ไม่ได้เห็นตามความเป็นจริง

ถ้าเห็นตามความเป็นจริงนี่มันถอนอุปาทาน ถอนศรที่ปักอยู่กลางหัวอก ถ้ามันถอนศรที่ปักอยู่กลางหัวอกมันจะซึ้งมาก มันจะซึ้งของมันมากเลย แล้วจิตนี้พอมันผ่องใสมันผ่องใสอย่างไร มันเป็นไปอย่างไร

นี่เห็นโดยจิต ! เห็นโดยจิต ! เห็นโดยจิต ! เพราะกิเลสมันอยู่ที่จิต ถ้าเห็นโดยจิตกิเลสมันก็เคลื่อนไหว กิเลสมันก็กระเพื่อมด้วย พอกิเลสกระเพื่อม เห็นไหม นี่ไงยึดให้มั่นคั้นให้ตายนะ เวลามันตายนะ เวลากิเลสตายเผาศพกิเลส

ยะถาภูตัง ญาณทัสนะ.. ยะถาภูตังคือฆ่ากิเลส ! ฆ่ากิเลสแล้วเห็นว่ากิเลสตาย พลิกศพกิเลสด้วย เห็นกิเลสตายต่อหน้าต่อตาเลย นี่ไงมันถึงเป็นความจริงไง ไอ้นี่กิเลสตายอยู่ในตำรานะ กิเลสตายนี่อยู่ในพระไตรปิฎก โอ้โฮ.. ฉันนี่พระอรหันต์นะ แต่กิเลสมันอยู่ในพระไตรปิฎก นี่ตายหมดเลยนะ ฆ่าเกลี้ยงเลยอยู่ในพระไตรปิฎก ตัวเองมันด้านไปเรื่อยของมัน เห็นไหม นี่จิตไม่ได้พักผ่อนตามความเป็นจริง มันก็ทำงานตามความเป็นจริงไม่ได้

จิตได้พักผ่อนตามความเป็นจริง ศีล สมาธิ ปัญญา ! สมาธิก็พูดผิดๆ ถูกๆ กลับหัวกลับหาง มันเป็นไปไม่ได้ ถ้าสมาธิตามความเป็นจริง คนที่ผ่านงานมาแล้วจะพูดกลับหัวกลับหางไม่มีหรอก

ธรรมะของพระพุทธเจ้าไม่เคยขัดแย้งกัน มันจะเป็นไปในช่องทางเดียวกัน ไปในทางเดียวกันหมดเลย ธรรมะถ้ามันขัดแย้งกันมันผิดแน่นอน ถ้าทำสมาธิยังกลับหัวกลับหาง เดี๋ยวได้เดี๋ยวไม่ได้ เดี๋ยวทำต้องใช้สมาธิ เดี๋ยวไม่ต้องใช้สมาธิ ยังกลับหัวกลับหางกันอยู่อย่างนี้ มันจะเป็นความจริงได้อย่างไร

มันไม่เป็นความจริงของมัน เห็นไหม ถ้าเป็นความจริง รู้ตามความเป็นจริง มันจะกลับหัวกลับหางไม่ได้ แล้วถ้าเกิดปัญญาขึ้นมา นี่โลกุตตรปัญญากับโลกียปัญญา.. ปัญญาโดยสามัญสำนึกกับปัญญาของโลกมันแตกต่างกันอย่างไร ปัญญาที่ชำระกิเลส แล้วปัญญาชำระกิเลสนี่เวลาเขียนตามตำราก็ว่าภาวนามยปัญญา.. แล้วบอกมาสิภาวนามยปัญญามันเกิดสิ่งใดได้ ภาวนามยปัญญามันเป็นนามธรรม มันเกิดขึ้นจากจิตไม่ใช่เกิดขึ้นจากสมอง

เวลาเกิดขึ้นจากจิตนะ ดูสิ นี่เขาบอก “หลวงพ่อปฏิเสธวิทยาศาสตร์เหรอ”

เราบอกว่า “วิทยาศาสตร์นี่ วิทยาศาสตร์อธิบายความทุกข์ของเราได้หมดไหม แม้แต่ความทุกข์ในหัวใจนี่มึงเขียนมาให้ครบสิ ก็ยังเขียนมาไม่ได้เลย วิทยาศาสตร์อธิบายได้ไหมถึงความทุกข์ในใจเรานี่ แล้วถ้ามันไปรู้เห็นจริง ที่มันถอนทุกข์ มันยิ่งกว่าความทุกข์อันนั้นอีก เพราะมันมหัศจรรย์กว่านั้น แล้วมันจะเป็นวิทยาศาสตร์ตรงไหน”

นี่ไง สิ่งที่ว่าธรรมเหนือโลก ! ธรรมเหนือโลก ! มันเหนือทุกอย่าง ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมานี่มันเหนือหมด เหนือวิทยาศาสตร์ เหนือทุกอย่างหมดเลย มันถึงเหนือโลก มันถึงทิ้งโลกนี้ไว้ได้ เหยียบย่ำโลกนี้ไป

สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นมานี่อริยสัจ ๔ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค.. สติปัฏฐาน ๔ กาย เวทนา จิต ธรรม ต่างๆ นี่เหยียบย่ำมันทั้งนั้นล่ะ จิตนี้กลั่นออกมาจากอริยสัจ ! จิตนี้มันกลั่นออกมาจากอริยสัจ แล้วสุดท้ายแล้วต้องทำลายจิต ถ้าไม่ทำลายจิต จิตมันออกมา นี่มันก็อยู่ในอริยสัจไง

กาย เวทนา จิต ธรรม เห็นไหม จิต.. จิตนี่นิพพานมีอยู่แล้ว ถ้านิพพานมีอยู่แล้วต้องเหยียบย่ำ ต้องทำลายจิต ถ้าจิตไม่ทำลายเป็นนิพพานไม่ได้.. แล้วถ้านิพพานมันอยู่ที่จิต ถ้าทำลายนิพพาน เราแสวงหานิพพาน แล้วทำลายนิพพาน แล้วนิพพานมันอยู่ที่ไหนล่ะ

กาย เวทนา จิต ธรรม ! จิต เห็นไหม สิ่งนี้คือสติปัฏฐาน ๔ เป็นที่จิตนี้มันจะผ่านไป มันจะเหยียบย่ำไป มันจะผ่านไป ถ้าจิตเป็นนิพพาน กายก็ต้องเป็นนิพพาน เวทนาก็ต้องเป็นนิพพาน ทุกอย่างต้องเป็นนิพพาน.. ไม่เป็นอะไรทั้งสิ้น เห็นไหม นี่ปากเปียกปากแฉะ

ถ้าจิตมันทำความเป็นจริง เราสร้างความเป็นจริงเพื่อประโยชน์กับเรานะ มันจะทุกข์จะยาก มันจะทุกข์จะยากมันก็เป็นตามข้อเท็จจริง ถ้ามันจะเอาแต่หวานเป็นลมขมเป็นยา เอาแต่ความสุขสบาย มันก็จะสุขสบายทางโลก..

สุขสบายทางโลก สุขสบายที่เราคิดแต่มันไม่สุขหรอก ไม่มีอะไรสุข มันเป็นความพอใจเท่านั้น พอใจหรือไม่พอใจ พอใจก็สุข ไม่พอใจก็ทุกข์ มันเป็นสัจธรรมของมันอยู่อย่างนั้น แต่ถ้าเราเห็นจริงของมันแล้ว เรารู้เท่าทันมันหมดแล้ว นี่อยู่กับโลกโดยไม่เคลื่อนไหวไปกับโลก

ราต้องอยู่กับโลกเพราะเราเกิดมาบนโลก เรามาเป็นสิ่งที่มีชีวิต สิ่งที่ต้องเป็นอย่างนี้ มนุษย์เป็นสัตว์สังคม อยู่ด้วยตัวเองไม่ได้ แต่เวลาผู้ปฏิบัตินี่ไปแบบหน่อแรด หน่อแรดออกไปเพื่อค้นหาตัวเองให้เจอ ถ้าค้นหาตัวเองให้เจอ ทำให้เจอ เห็นไหม สิ้นสุดขบวนการจากการกระทำของ อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ตนต้องทำลายตน ตนต้องทำลายจิตของตน ทำลายจิตของตน เพื่อประโยชน์กับตน อันนี้จะเป็นประเสริฐที่สุดในการประพฤติปฏิบัติ

นี้พุทธศาสนาสอนอย่างนี้ เราเป็นชาวพุทธ ประพฤติปฏิบัติไปก่อน ค้นคว้าไปก่อน ผิดหรือถูกมีครูมีอาจารย์นะ ครูบาอาจารย์คอยชี้นำคอยแก้ไขเรา เพื่อประโยชน์กับเรา เพื่อการกระทำของเรา เอวัง